ปัญญาชาวบ้าน หมายถึง ความรอบรู้เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ของชาวบ้านซึ่งอาจประกอบด้วยลักษณะที่เป็นนามธรรม เช่น โลกทัศน์ ความเชื่อ ความคิดเห็นเกี่ยวกับเกิด แก่ เจ็บ ตาย คุณค่าของทุกสิ่งหรือเป็นรูปธรรม เกี่ยวกับเรื่องเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น การทำมาหากิน การเกษตร หัตถกรรม ฯลฯ ทั้งที่สามารถคิดเองได้ เกิดขึ้นเองโดยการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในชีวิต เรียนรู้โดยการสืบทอดกันมา และสามารถนำมาแก้ปัญหาในการดำรงชีวิตได้ ภูมิปัญญาของพระสงฆ์ในเพลงแหล่แหล่นอก เป็นการแสดงความสามารถส่วนตัวและปฏิภาณไหวพริบ ตลอดจนภูมิปัญญาที่พระผู้เทศน์จะเป็นผู้นำมาเทศน์ จนเป็นที่นิยมชมชอบของชาวบ้านทั่วไปได้ พระสงฆ์จึงต้องเตรียมสาระของเรื่องที่จะแหล่ โดยจะประพันธ์เรื่องก่อนที่จะนำมาแหล่ และบางครั้งต้องใช้แหล่สด ๆ ซึ่งจะต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบ ตลอดจนรู้จักแก้ปัญหาและเสนอปัญหาต่าง ๆ เฉพาะหน้า เพราะแหล่นอกถือเป็นแหล่เครื่องเล่นประกอบเนื้อหา ทำให้เนื้อหาสาระตอนนั้น ๆ เด่นขึ้นเป็นที่ประทับใจผู้ฟัง
๑.๑ การอวยพรและการกล่าวลาการอวยพรและการกล่าวลา
ถือเป็นธรรมเนียมประเพณีที่คนไทยปฏิบัติสืบต่อกันมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เมื่อพบกันต้องมีการทักทายกัน พระสงฆ์เมื่อจะเริ่มเทศน์มหาชาติจึงใช้เพลงแหล่ซึ่งเรียกว่าแหล่พร แหล่ทักทายญาติโยมที่มาฟัง เพื่อเป็นการดำรงรักษาธรรมเนียมประเพณีไทย เป็นการสร้างความคุ้นเคยกับผู้ฟัง และยังเป็นกลวิธีโน้มน้าวใจให้ประชาชนสนใจฟังเนื้อเรื่องที่จะสั่งสอนโดยตรง และหลังจากพระสงฆ์ได้เทศน์จบแล้ว ก่อนจะกลับก็จะมีแหล่จบ ซึ่งเรียกว่า แหล่ลาเพื่อเป็นการสร้างความประทับใจแก่ผู้ฟัง และเป็นการเชิญชวนให้ผู้ฟังหันมาสนใจธรรมะมากยิ่งขึ้น โดยสาระที่ปรากฏในแหล่พรจะได้ให้ความรู้ตลอดจนข้อคิดคำสอน และสัจธรรมที่ผู้ฟังสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทำให้จิตใจสูงขึ้น หรือนำมาใช้ประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ คือ
๑.๑.๑ การให้กำลังใจขอให้สมความปรารถนา เป็นสัจธรรมว่ามนุษย์ทุกคนมักจะต้องการให้ตนเอง สมหวังในสิ่งที่ต้องการ ในคำพรจึงมักจะอวยพรให้สมหวังในเรื่องที่อธิษฐานหรือตั้งใจไว้
“เก้าไปให้มั่นเก้าขั้นบันได ขออำนวยชัยตามเจตจำนง
ยะถาสัพพีวาริวะหา ความปรารถนาให้สมประสงค์
เหมือนดั่งจันทร์จวงเป็นดวงเต็มวง เหมือนน้ำเปลี่ยนทรงสองฝั่งคงคา
เหมือนแก้วมณีที่เนรมิต บันดาลศักดิ์สิทธิ์สมปรารถนา
ขอให้สมใจดังฉันให้พร ให้จงถาวรวัฒนา
อายุวรรณโณสุโขพลัง ขอให้สมดังที่ท่านปรารถนา
”(แหล่พร : แหล่นอก)
๑.๑.๒ การสั่งสอนเพื่อให้ปฏิบัติตนตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ ให้ปฏิบัติความดี รักษาศีลและเว้นความชั่ว ไม่ลุ่มหลงในอบายมุข ประกอบอาชีพสุจริต ดังข้อความว่า
“ทำบุญสุนทานเป็นการมงคล มากน้อยอยู่บนพอเหมาะพอดี
แปดเรื่องศีลห้ารักษาให้ครบ ศีลส่งประสบพบความสุขขี
ศีลกันวิบัติกำจัดราคี ชาติหน้าชาตินี้มีแต่คนบูชา
เก้าอย่าประมาทหลงเมามัว อย่านึกว่าตัวจะอยู่คำฟ้า
โออนิจจังวะตะสังขารา ทุกคนเกิดมากายาผันแปล
คนและสัตว์ทั้งหลายตายได้ทันที ชีวิตเรานี้ไม่เที่ยงแท้”
(แหล่พร: แหล่นอก)
๑.๑.๓ การสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ฟังเมื่อเทศน์จบแล้ว เป็นธรรมเนียมที่พระผู้เทศน์จะต้องลาด้วยแหล่นอกที่เป็นแหล่ลา เพื่อแสดงความคุ้นเคยผูกพัน แสดงความอาลัยอาวรณ์ ฝากข้อคิดและประสิทธิ์ประสาทพร รวมทั้งเป็นการสร้างความเป็นกันเอง กับหมู่ญาติโยมที่มานั่งฟังธรรมอีกด้วย
ดังนั้น พระผู้เทศน์จึงต้องแหล่ลาซึ่งจะเป็นแหล่สุดท้าย ซึ่งแหล่ลานี้เป็นแหล่สำคัญ เพราะเป็นการทำให้พระผู้เทศน์ ได้สร้างความประทับใจแก่ญาติโยมที่มานั่งฟังธรรม และยังเป็นกลยุทธของพระผู้เทศน์ในการสร้างแรงจูงใจ ทำให้ญาติโยมนั้นใคร่อยากจะติดตามฟังธรรม เมื่อได้มีโอกาสมาเทศน์อีกในคราวต่อไป โดยจะเริ่มต้นด้วยการเกริ่น เป็นการบอกให้รู้และกล่าวยกย่อง ทำให้เกิดความปลื้มปิติ ดังข้อความว่า
“จะเริ่มเติมอักษรประดิษฐ์เป็นกลอน ขององค์พระพุทธเอาทศพล
ขอให้บังเกิดกับสาธุชน ทั่วทุกคนจงมารับเอาพร”“
จตุพรของพระพุทธโธ ให้สมมโนสโมสร
โยมนั่งฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดร ไม่ย่อหย่อนในเรื่องศรัทธา
ดวงจิตกมลไม่หม่นหมอง ยลรับรองรสพระธรรมมา
นั่งประนมมือน้อมอยู่พร้อมหน้า เปรมปรีดาปลื้มในฤดี”
(แหล่พร: แหล่นอก)
๑.๑.๔ การแนะนำตัวและการสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อผู้ฟัง นอกจากการให้ศีลให้พร การเตือนสติในพรลาแล้ว ในการสร้างความสัมพันธ์อันดี ความประทับใจที่ญาติโยมรู้สึกสนุกสนาน คือการกระเซ้าเย้าแหย่ด้วยแหล่นอก สาระมักปรากฏในช่วงก่อนที่จะเริ่มแหล่เนื้อเรื่อง ซึ่งถือเป็นการออกตัวของพระผู้เทศน์ และอีกช่วงหนึ่งคือในตอนท้ายของบทลา ซึ่งถือเป็นการกลาวฝากเนื้อฝากตัว แนะนำตนเองเพื่อให้ญาติโยมได้รู้จักพระนักเทศน์ได้ดียิ่งขึ้น ดังความว่า
“เพราะรักกันหรอกจึงบอกโยมญาติ ถ้าหากผิดพลาดจะพากันเศร้า
จะทุกข์ระทมจะซมซึมเซา จึงขอบอกเล่าเมื่อก่อนจะลา
เมื่อก่อนจะลาโยมจ๋าฟังนิด ขอฝากข้อคิดให้คำปรึกษา
ถ้าหากว่าฉันได้ผ่านไปมา แวะฉันน้ำชาโยมคงเต็มใจ
แต่ตัวของฉันขอให้สัญญา วันนี้วันหน้าแวะหากันได้
จำชื่อให้ชัดชื่อวัดอะไร คงจำกันได้นะจ๊ะคุณโยม”
๑.๒ การจูงใจให้ทำความดีและการสร้างกุศล
๑.๒.๑ การสอดแทรกนิทานพื้นบ้านและนิทานชาดกการใช้นิทานพื้นบ้านและนิทานชาดก เพื่อจูงใจให้ผู้ฟังได้ข้อคิดจากการฟังเกิดความสนุกสนาน และเป็นการจูงใจให้รู้สึกอยากฟัง เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เครียด ทำให้ผู้ใหญ่ เด็กและหนุ่มสาวไม่รู้สึกเบื่อที่จะฟังเทศน์ และยังได้สาระความรู้และข้อคิดจากการฟังนิทานสามารถนำสิ่งที่ดีไปประพฤติปฏิบัติตามได้ ถือเป็นการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้แก่ผู้ฟังโดยไม่รู้ตัว
๑.๒.๒ การสอดแทรกเรื่องการทำบุญประเพณีการเทศน์มหาชาตินั้น เมื่อมีการจัดเทศน์มหาชาติขึ้นตามวัดหรือตามบ้าน นอกจากการจัดสถานที่ มีการประดับต้นกล้วย อ้อย ราชวัตรฉัตรธงต่าง ๆ แล้ว ผู้ที่เป็นเจ้าภาพจะต้องมีการจัดเตรียมเครื่องกัณฑ์ และต้องมีขันประจำกัณฑ์ให้เพื่อนบ้านที่มาฟังร่วมทำบุญติดกัณฑ์เทศน์ โดยจะมีต้นกล้วยและไม้ธงสามเหลี่ยมเตรียมไว้ เพื่อให้ผู้ทำบุญนำเงินมาผูกเสียบไว้กับต้นกล้วย ถ้าเป็นเงินเหรียญก็ใส่ไว้ในขันประจำกัณฑ์ตามที่เรียกมาแต่โบราณ แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้พานแว่นฟ้า หรือไตร
ปัจจุบันพระนักเทศน์ ใช้แหล่นอกเป็นกลยุทธในการชักจูงให้ชาวบ้านได้ร่วมทำบุญกับพระ หรือกับทางวัด ด้วยเพลงแหล่มีมีเนื้อหาสาระเรียกร้องให้ญาติโยมร่วมทำบุญ ซึ่งประเพณีการเทศน์มหาชาติสมัยโบราณ เรียกว่า “แหล่ติดเทียน” เป็นการเปิดโอกาสให้ญาติโยมได้นำเงินมาทำบุญร่วมกันกับเจ้าภาพ หรือทำบุญให้กับพระรูปที่มาเทศน์ โดยพระนักเทศน์จะแหล่เชิญชวนด้วยเทคนิคการใช้ถ้อยคำตามแต่ที่เห็นว่าควรกล่าว ดังข้อความว่า
“ถึงจะเทศน์นานมองพานเงินยังไม่เพิ่ม เห็นมีเท่าเดิมมองแล้วอยากร้องไห้
นั่งฟังเสียเพลินลืมเดินเรี่ยไร เทศน์จนเหงื่อโทรมกายโยมยังไม่เมตตา
ถ้าโยมไม่ศรัทธาก็ไม่ว่าโยมหรอก จะไม่เก็บไปบอกใครเขาหรอกหนา
ว่าโยมที่นี่ขี้เหนียวเต็มประดา คงจำติดตราไปนานเป็นปี”
ถ้าหากผู้ใดทำบุญมา ๆ ชาติหน้าก็จะได้ขึ้นสวรรค์“
เจ้าของกัณฑ์ท่านใจดี ท่านปราณีคงไม่เป็นไรโยม
ไม่ติดฉันไม่ว่า ไม่ขัดศรัทธาที่เลื่อมใส
วิมานเมืองฟ้าสุราลัย จะไว้ให้ใครเล่าคุณโยม
วิมานมาลอยอยู่คอยท่า มีหมู่นางฟ้ามาแห่โหม
วิมานมาลอยคอยคุณโยม จะไม่ประโคมก็ตามแต่ใจ นั้นแล ฯ
(แหล่พร : แหล่นอก)
การแหล่ติดเทียน พระผู้เทศน์จะประพันธ์แทรกอยู่ในเนื้อหาแหล่นอก ซึ่งสามารถสอดแทรกได้ทุกกัณฑ์ ขึ้นอยู่กับพระนักเทศน์ว่าจะใช้ช่วงเนื้อหาใดในแต่ละกัณฑ์จึงจะเหมาะสม แต่กัณฑ์ที่นิยมสอดแทรกแหล่ติดเทียน ได้แก่ กัณฑ์มัทรี กัณฑ์ชูชก กัณฑ์มหาราช ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อพระผู้เทศน์กระเซ้าเย้าแหย่ให้ญาติโยมร่วมทำบุญ ผู้ฟังก็จะนำเงินไปถวายพระที่กำลังเทศน์ หรืออาจมีผู้ใดผู้หนึ่ง ถือพานไปให้ผู้ฟังได้ใส่เงินเพื่อเป็นการทำบุญก็ได้ การแหล่ติดเทียนนี้จึงนับว่าเป็นค่านิยมของนักฟังเทศนมหาชาติ และเป็นภูมิปัญญาของพระนักเทศน์ประการหนึ่ง
ดังนั้นเพื่อให้ญาติโยมได้บุญกุศลจากการทำบุญ พระผู้เทศน์จะต้องหาช่องทางเพื่อให้ญาติโยมได้นำเงินมาติดเทียน ถ้าเทศน์กัณฑ์มัทรี ก็ใช้แหล่มัทรีสลบ ในกัณฑ์มหาราชจะใช้ตอนที่เทวดาได้มาเล่นดนตรีกล่อมให้พระชาลีและกัณหานอน แต่เผอิญซอขาดจึงต้องให้ญาติโยมนั้นช่วยกันต่อสายซอ เมื่อได้ปัจจัยติดเทียน เหมือนเป็นการต่อสายซอแล้ว พระจึงแหล่ต่อไปได้
เอกสารอ้างอิง
จันทรา เรือนทองดี.(๒๕๔๗). เพลงแหล่ในเทศน์มหาชาติจังหวัดเพชรบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.
พระมหาบุญเลิศ ปุญญวโร.สัมภาษณ์ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๖
นายเจือ พันธ์น้อย สัมภาษณ์ ๖ กันยายน ๒๕๔๕.
นายแจ่ม เขตน้อย. อายุ ๘๗ ปี (วิทยากรท้องถิ่น)
นางอุ่ม ชุ่มสด. อายุ ๗๕ ปี (วิทยากรท้องถิ่น)